Zaha Hadid สัมภาษณ์ โดย Geoffrey Broadbent
Zaha HadidPostmodernการศึกษาสถาปัตยกรรมหนังสือ
Zaha Hadid สัมภาษณ์ โดย Geoffrey Broadbent ในหนังสือ Deconstruction A Student Guide
สมัยเรียนปริญญาตรีก็เคยได้ยินสิ่งที่เรียกว่า Deconstruction (การรื้อสร้าง) และชื่อของคุณ Zaha Hadid แต่ก็ไม่ค่อยได้สนใจเท่าไหร่นักเพราะไม่ใช่แนว โตมาอีกนิดได้รู้จักกับ Postmodern (หลังสมัยใหม่) ได้รู้จักกับ Poststructuralism (หลังโครงสร้างนิยม) และได้รู้จักกับ Jacques Darrida (ฌาคส์ แดร์ริดา) จึงได้รู้จักกับ Deconstruction มากขึ้น (แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม)
อยู่มาวันหนึ่งก็ได้ไปเห็นหนังสือชื่อ "การรื้อสร้าง แนวทางสำหรับนักศึกษา" (Deconstruction A Student Guide) เข้า ถือว่าเป็นหนังสือที่ดีเลยทีเดียว จริงๆมีบทสัมภาษณ์หลายคนเช่น Bernard Tschumi, Frank Gehry, Coop Himmelblau และสุดท้ายก็ของคุณ Zaha Hadid สัมภาษณ์ โดย Geoffrey Broadbent ในหน้า 88-89
แต่สำหรับวันนี้ผมคิดว่าอยากจะแปลส่วนของคุณ Zaha Hadid เผื่อจะเป็นประโยชน์บ้าง แต่ถึงอย่างไรผมแนะนำให้หาอ่านตัวภาษาอังกฤษโดยตรง เพราะผมอาจจะแปลไม่ดีไปบ้าง ลองอ่านดูครับ
- ผมกำลังพยายามปะติดปะต่อเรื่องราวของการรื้อสร้าง (Deconstruction) และคุณคงจะพอเห็นได้ว่ามันค่อนข้างยาก เรามาเริ่มด้วยการพูดถึงนักรื้อสร้าง (Deconstructionist) บางคนที่คุณรู้จักดีไหมครับ?
ถ้ากลับไปเมื่อ 10 ปีก่อน งานของ Bernard Tschumi และ Daniel Libeskind นั้นแตกต่างจากตอนนี้ งานของ Coop Himmelblu ก็กำลังเริ่มต้นที่จะเปลี่ยน งานของ Peter Eisenman ไม่เหมือนเดิมอย่างเห็นได้ชัด สำหรับ Frank Gehry ฉันคิดว่าไม่ได้เปลี่ยนไป และงานของ Rem Koolhaas เปลี่ยนไปนิดหน่อยแต่ไม่ใช่ไปเชิงการรื้อสร้าง - งานของเขาเกือบจะกลายมาเป็นความบริสุทธิ์ (pure)
ตอนที่ฉันเริ่มทำงานศึกษาเพื่อทำงานสมัยเรียนของฉัน ฉันได้เริ่มสนใจความเป็นนามธรรม_(Abstraction)และสนใจคนที่ทำงานแนวอนุตรนิยม(Suprematists)_ของรัสเซียแทนที่จะสนใจงานแนว Constructivism ฉันยังสนใจทุกอย่างเกี่ยวกับความเป็นนามธรรมและผลกระทบของมันต่อประเด็นต่างๆในสถาปัตยกรรม มันเป็นอะไรที่ต้องทำกับแปลน (plan) แต่มันมีหลาย layer ในตัวมันเอง ทุกๆคนมาถึงจนนึงโดยมาจากสิ่งที่แตกต่างกัน มันมีความแตกต่างระหว่างวิธีคิดของฉันกับวิธีคิดของชาวยุโรป 'กฎ' ที่พวกเขาสมควรจะทำลายลงคือกฎแบบยุโรป ฉันไม่ใช่คนยุโรป และฉันก็ไม่ได้มาจากพื้นฐานอะไรแบบนั้น ฉันไม่เคยอ่านแดร์ริดา แม้ว่าจะเคยฟัง lecture ของเขาก็ตาม
- กฎเหล่านั้นไม่สำคัญอย่างนั้นหรือ?
ฉันคิดว่ามันเป็นเรื่องของพื้นฐาน ฉันค่อนข้างใช้สัญชาตญาณเป็นหลัก มันแค่เป็นไหวพริบ/ความรู้สึกที่ต่างกัน ของแนวความคิดเรื่อง 'การทำลายความปกติธรรมดา' (de-regularisation) ถ้าคุณคุยกันในแบบยุโรป คุณจะต้องยอมรับว่ามันมีอะไรที่เป็น 'ความปกติธรรมดา' ที่คุณจะต้องทำลายมันลง ทุกๆคนในตะวันตกมักคิดว่ามันมีระบบการคิดที่มั่นคงเที่ยงแท้แบบใดแบบหนึ่งอยู่ จากนั้นเหล่านักโครงสร้าง (Structuralists) และนักรื้อสร้าง (Deconstructionists) ก็เริ่มแกะมันและผ่ามันหรือตั้งคำถามกับมัน แต่สำหรับฉันแล้วกฎเหล่านั้นก็ไม่ได้ใช้ได้เสมอไป - ไม่ใช่ในเชิงของภาษา พวกนักโครงสร้างนั้นช่างมีความเป็นฝรั่งเศสมาก; ก็คือว่าประเด็นทั้งหมดของความขัดแย้งและความเป็นระเบียบเรียบร้อยกลายเป็นกระแสนิยมอย่างมาก ทั้งหมดนี้เป็นส่วนหนึ่งแนวโน้มที่เกิดขึ้นในยุค 70 ที่เป็นอะไรที่เกี่ยวกับการแหกกฎ - ฉันคิดว่ามันเป็นอะไรที่เป็นของเหลือจากยุค 60 เราเคยเป็นพวกคนที่ต่อต้านแนวคิดเติมๆในช่วงต้นยุค 70 ฉันพยายามรักษาความกบฏนี้ไว้ตั้งแต่ย้ายมาอยู่ที่นี่ ฉันรู้สึกได้ถึงความแปลกถิ่น คุณสามารถเป็นคนของที่ใดที่หนึ่งจริงๆได้เพียงที่เดียวเท่านั้นและความรู้สึกแปลกถิ่นของฉันสามารถเป็นการปลดปล่อยหรือไม่ก็เป็นการปิดกั้น อย่างใดอย่างหนึ่ง หลักคิดของฉันก็คือว่า สิ่งที่เราปฏิบัติกันมาตลอดภายใต้ระบบบางแบบ และเราจะต้องก้าวข้ามมัน ทดสอบขอบเขตต่างๆ โดยที่ขอบเขตเหล่านี้ก็ไม่ได้เคยถูกกำหนดมาก่อน
เหล่า Suprematist ได้ให้เบาะแสบางอย่างเอาไว้ แต่เบาะแสเหล่านั้นไม่ได้เกิดขึ้นอย่างโดดๆในช่วงยุค 30 มันมีความเชื่อมโยงอย่างมากระหว่างพวกคนรัสเซีย พวกนักภารกิจนิยม (Funtionalists) และคนอเมริกัน พวกเขาสนใจในทั้งแนวทางขนาดเล็ก (Minimal) และแบบขนาดใหญ่ (Major) สำหรับเมือง โดยเกี่ยวกับการวางผังและการจัดการในระดับเมือง มันเป็นศักราชใหม่ แนวทางของชีวิตแบบใหม่ที่มีอุดมการณ์คือเราต้องพัฒนามันต่อไปเรื่อยๆ
โดยรวมแล้วเป็นเพราะความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีทำให้มันกลายมาเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ ความคิดที่ว่ามันเป็นไปได้ ได้ปลดปล่อยพวกเขาซึ่งในทางเดียวกันกับที่สามารถปลดปล่อยพวกเราในจุดนี้ได้เช่นกัน อย่าเพิ่งคิดถึงเรื่องชื่อเสียงหรือป้ายยี่ห้อใดๆ Architecture Association ได้กลายมาเป็นส่วนสำคัญ AA เป็นสถาบันที่สอนสถาปัตยกรรมแห่งเดียวในช่วงยุค 70 และ 80 ที่ไม่ได้อยู่ภายใต้ป้ายของหลังสมัยใหม่ (Post-Modern) AA ยังเป็นสถาบันที่ไม่ต้องการจะทำงานแบบยึดติดกับกฎของ 'การนำเสนอสิ่งเสมือนจริง' (representational) คุณไม่จำเป็นต้องส่ง portfolio ที่มีรูปตัด รูปด้าน หรือแปลน สถาปัตยกรรมไม่ได้อยู่จำกัดอยู่แค่อาคาร มันเป็นเรื่องของกิจกรรมที่มากกว่าอาคาร ผู้คนต่างก็มองไปที่ลอนดอน (London) เพื่อหาแนวคิด ไม่ว่าจะเป็นแฟชั่น เพลง หรือกราฟิก สำหรับสถาปัตยกรรมแล้ว มันคือจุดเริ่มต้นที่สำคัญ
คุณไม่สามารถที่จะบรรลุทุกอย่างภายในงานงานเดียวได้ คุณต้องการให้แนวคิดทำงานกับแปลน และคุณต้องการให้แนวคิดทำงานกับอาคาร ฉันไม่ต้องการให้แนวคิดมีความสมบูรณ์ในรายละเอียดแบบที่ชาวยุโรปตอนกลางต้องการ; ซึ่งมันไม่ใช่แนวคิดของรายละเอียดในแบบของฉัน - การออกแบบไปยันกลอนประตูทุกๆอัน ทุกอย่างมันต้องเข้ากันทั้งหมด ไม่อย่างนั้นมันไม่น่าสนใจสำหรับฉัน ('ฉัน' - หมายถึงพวกคนยุโรปตอนกลาง - ผู้แปล)
สิบปีก่อนผู้คนคิดว่ามันคงแปลกมากๆที่จะมีใครก็ตามมาหาฉันเพื่อเป็นลูกค้า - เรื่องนี้เป็นเรื่องเมื่อก่อนและตอนนี้ได้เปลี่ยนไปแล้ว ตอนนี้ 7 ปีผ่านมา ผู้คนเริ่มที่จะยอมรับงานของฉัน - ไม่ใช่ทุกคน แค่บางคน - ยอมรับว่าเป็นวัตถุที่สร้างได้ ฉะนั้นเราได้ก้าวข้ามอุปสรรค์บางอย่างไปแล้ว
สำหรับฉันแล้วประเด็นเกี่ยวกับพวก Suprematist ก็คือ มันเหมือนมองเข้าไปในกาแล็กซี่ผ่านกล้องจุลทรรศน์: อวกาศ เรื่องนี้บ่งบอกว่ามันสามารถสร้างแปลนแบบใหม่: มีความลื่นไหล (fluid) และความเปลี่ยนแปลง (dynamic) ได้มากกว่าเดิม มันบ่งบอกถึงอิสระ (freedom) และความลื่นไหล (fluidity) บางอย่าง วิธีการจัดการกับพื้นที่ว่างที่แตกต่างออกไป นี่เป็นเรื่องที่สำคัญมากสำหรับฉัน และอีกอย่างหนึ่งคืออาคารนั้นมีความเบาความยืดหยุ่น (lightness) เหมือนตอนที่มันถูกวาดหรือออกแบบ มันไม่ใช่สิ่งที่แข็งกระด้าง
การเรียนรู้ตรงนี้เกี่ยวข้องกับคุณภาพของ 'การลดทอน' (Reductivitst) มีเพียงไม่กี่องค์ประกอบที่สำคัญ การลดทอนนั้นถูกทำอย่างงดงามหมดจดโดยไม่มีการตกแต่งใดๆ มันบริสุทธิ์อย่างที่สุด องค์ประกอบต่างๆจะต้องเป็นตัวแทนของตัวมันเองและนั้นสามารถพาเราไปยังระบบโครงสร้างที่บริสุทธิ์ โดยหลักการแล้วมันบ่งบอกถึงแปลนรูปแบบใหม่ ไม่มีใครสามารถเข้าใจอะไรได้เลยในงานออกแบบบ้านของนายกชาวไอริสเมื่อสิบปีที่แล้วและรวมถึงงานสมัยเรียนของฉัน แน่นอน ทุกๆคนตระหนกกับผนังที่ไม่ได้ทำมุมฉาก และอื่นๆอีก และสำหรับฉันแล้วมันคือความตระหนกที่ดี เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่ฉันได้ตั้งใจทำอะไรที่เรียกว่าแปลนแห่ง 'ความยุ่งเหยิง' (chaotic) โดยมีหลักตรรกะบางอย่างข้างในพื้นที่ว่างที่ถูกจำกัดนั้น
บทเรียนที่สำคัญที่สุดคือการที่ความคิดนี้ที่เป็นชิ้นส่วนเล็กๆมากมายจะทำงานร่วมกันอย่างไร มันไม่ใช่การสุ่มส่งเดชที่ไม่มีตรรกะเลย: มันมีระดับขั้นตอนอยู่หมด ผู้คนเคลื่อนผ่านอาคารแตกต่างกันและไม่ใช่เป็นเส้นตรงตลอดเวลา ฉันคิดว่ามันคือหัวใจของบทเรียนจากทุกๆอย่างที่กล่าวมาทั้งหมด และเหมือนกับเรื่องของวัฒนธรรม มันมีความซับซ้อนของการซ้อนทับกันอย่างหนักหน่วง มันมีศักยภาพความเป็นไปได้ที่หลากหลาย ไม่ใช่มีเพียงแค่หนึ่งเดียวเท่านั้น
Malevich Tektonik: source
- คุณได้รู้จักกับกับ Suprematist ได้อย่างไรในตอนแรก?
มันเกือบจะเป็นอะไรที่บังเอิญมากๆ ตอนนั้นฉันอยู่ปี 3 กับ Leon Krier คนที่ตอนนั้นไม่ได้หัวแข็งเท่าตอนนี้ มันเป็นเรื่องก่อนมี Rationalist Show (อันนี้ผมไม่มั่นใจว่าเป็นโชว์ที่เกิดขึ้นจริงๆหรือหมายถึง 'การมาของพวกเหตุผลนิยม' นะ เพราะเค้าใช้ตัวใหญ่เขียน - ผู้แปล) ที่ Oxford ฉันชอบเขามากและคิดว่าเขาเป็นคนสอนที่ดีมาก เขาให้พวกเรามองดูเข้าไปที่เมืองในขณะที่ไม่มีใครในสถาบันไหนจะทำอะไรแบบนั้น แต่ในช่วงท้ายของปีการศึกษา ฉันก็รู้สึกว่ามันจะต้องมีทางเลือกอื่น คนบางคนไม่อาจยอมรับทัศนคติแบบการยอมแพ้ได้: 'มันจะต้องไม่มีความก้าวหน้าอีกแน่นอน' ฉันเข้ารวมกับ Elias Zenghelis และ Rem Koolhaas ตอนปี 4 ของฉันในปี 1975 พวกเขาให้งานมาสองงานในเทอมแรก: หนึ่งในนั้นคือ Malevich Tektonik นักศึกษาแต่ละคนเลือกแต่ละชิ้นของมันและออกแบบมัน; คนนึงออกแบบส่วนข้างบน อีกคนออกแบบส่วนตรงกลาง และคนอื่นๆต่อๆไป เราแต่ละคนได้รับ 2 โปรแกรม; ของฉันคือ Malevich Tektonik และ 'การควบคุมพฤติกรรมของคนในสังคม' (social condenser) ซึ่งฉันพยายามผสานมันเข้าด้วยกัน ฉันตัดสินใจที่จะทำ Tektonik เป็นแนวนอนและเอาไปวางบนลอนดอน เพื่อแสดงถึงวัตถุต่างๆบนเปลือกของเมือง มันอยู่บนสะพาน และมีการทับซ้อนกันของ layer อย่างมาก เราถูกกำหนดให้ออกแบบแต่ละส่วนเป็นแนวตรงและจากการเฝ้ามองมันมาเป็นเวลาหนึ่งปี เราจึงได้ตระหนักว่ามันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะทำภายในให้เป็นไปในแบบของอาคารธรรมดาทั่วไป สิ่งที่เกิดขึ้นอย่างแรกๆคือ core ลิฟท์ต้องถูกแตกออก ฉะนั้นฉันจึงเริ่มที่ตรงนั้น
อีกงานหนึ่งก็คือ Club - ซึ่งงานนี้ทำให้ฉันกับ Elias และ Rem ได้ใกล้ชิดกันมากขึ้น เป็นธีมเกี่ยวกับ Club ซึ่งเป็น Night Club คือธีมซากเรือ (shipwreck) มุมองศาของซากเรือก็เป็นความหายนะ ความหม่นหมองในตัวมันแล้วตั้งแต่แรก และแนวคิดเรื่องซากเรือก็กลายมาเป็นสิ่งนามธรรม มันเริ่มจากเรือที่เป็นกายภาพ ผ่านการกลั่นกรองไปเรื่อยๆจนกระทั่งแยกออกจากกัน หลังจากนั้นมีงานมากมายอื่นๆที่หยิบจับประเด็นพวกนี้: พิพิธภัณฑ์แห่งศตวรรษที่ 19 เป็นงานที่เกี่ยวกับการเทียบเคียงกันของสิ่งสองสิ่ง (juxtaposition) การพาดผ่านกันระหว่างโปรแกรมที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ลักษณะความต้องการของพื้นที่ที่แตกต่างกันเข้ามาอยู่ร่วมกัน; ความคิดเกี่ยวกับความเบา (lightness) แนวเส้น (linear) การจัดการพื้นที่ว่างแบบใหม่ การจัดการพื้นที่เขตของเมืองแบบใหม่ ฉันชอบที่จะดูเมืองต่างๆอย่างเช่น New York แนวคิดเกี่ยวกับห้องรับรองหลักๆและสิ่งที่มันสามารถบอกเราได้ งาน Tektonik บ่งบอกว่าเราสามารถสร้างรูปทรงเมืองแบบใหม่ที่สามารถทะลวงผ่านเมืองต่างๆได้ หรือเราสามารถเพิ่มชั้น (layer) ลงบนสภาพทางประวัติศาสตร์ได้ นั่นคือสิ่งที่ฉันคิดว่าคือความแตกต่างระหว่างนักสมัยใหม่ในช่วงแรกๆ (early modernists) กับตัวฉันเอง ฉันไม่คิดว่าเรากำลังเข้าสู่ความเสื่อม ความหลงระเริง; ที่เป็นเรื่องของการเอารูปทรงต่างๆมาทับซ้อนกัน นี่คือการขุดค้นสิ่งที่อยู่ทั้งภายในและภายนอก ทั้งปรากฏและซ่อนอยู่
แนวคิดนี้ยังได้เข้ามาในงาน The Peak เช่นกัน ช่วงเนินเขานั้นเต็มไปด้วยหิน; ประเด็นก็คือการเอาหินออกไปแล้วแทนที่สิ่งเก่าๆด้วยสิ่งใหม่ ฉะนั้นแล้วในแต่ละ layer จะแตกต่างกันและดูเหมือนเป็น 'แผ่น' (plate) แผ่นที่ปรากฏที่ทับซ้อนกันขึ้นไป
- แล้วการวางผังแบบเป็นเส้นละ?
ทุกๆอาคารมีการพยายามขยายความสามารถในเรื่องนี้เพราะเรื่องของสถานที่ตั้ง ในงาน The Peak ก็มี 3 site และ 3 โปรแกรม เรื่องราวหลักๆของ The Peak นั้นเกี่ยวกับพวกแกนและพื้นที่ว่างตรงกลาง: ช่องโล่งขนาด 5 ชั้นที่เป็นพื้นที่ต่อเติมจากสาธารณะ เราตั้งโปรแกรมว่าเป็น club ส่วนตัวและเป็นส่วนต่อเติมของเมืองและเปิดมันออกสู่ฮ่องกง ... มันไม่มีผนังล้อมรอบ พื้นดินถูกทำให้ก่อตัวอย่างกับมีชีวิต และอีก 2 โปรแกรม ก็เข้ามาอยู่ร่วมกันโดยการเดินทางของแกนข้ามผ่านกันและความเป็นกายภาพกำลังปรากฏตัวขึ้น ปรากฏขึ้นราวกับมีการโน้มนำให้มันเคลื่อนไปเอง จากนั้นอาคารจะเสร็จสิ้นอย่างกับเป็นภาพยนต์ ฉันได้มีความคิดเรื่องของแกนแต่ละชิ้นบินข้ามผ่านพื้นดินที่กำลังก่อตัวไปทีละเฟรม พวกมันเป็น conceptual drawing พวกมันเป็นเรื่องราว มันคือคำบรรยายของแนวคิดมากกว่าที่จะเป็นโครงร่างความคิด
รูปทรงเหล่านั้นคือความหมายในตัวเอง: อิสระ ถูกขัดเกลา บริสุทธิ์และเรียบง่าย นี่คืออิสรภาพของการเคลื่อนไหว ในส่วนกลางคือส่วนสาธารณะ มหาชน กระชับ ลงตัว มันยากที่จะยังคงความเป็นการวิจัยแบบในห้องทดลองในที่ทำงาน ที่ที่คนหลายๆคนพยายามประกายความคิดออกมา ฉันไม่ค่อยกังวลกับการที่คนจะเอาเปรียบ ล้ำหน้าหรือขโมยความคิดฉัน - ฉันเอาเปรียบตัวเองก่อน คุณไม่สามารถมีความคิดสร้างสรรค์ได้ทุกๆ 5 นาที
The Peak: source
- แล้วเกี่ยวกับผนังกระจกโค้งที่เบอร์ลินและงานต่อๆมาละ?
แผ่นโค้งๆเริ่มที่งาน The Peak แกนสองแกนด้านบนที่เป็นสะพานโดยไม่มีโครงสร้างระหว่างกัน - พวกมันเป็นอิสระ คุณสามารถแยกมันออกจากกันโดยการวางผังแบบโค้งโดยการใช้ทรงพาราโบลา (paraboloid) เพื่อที่จะได้พื้นที่ว่างที่ปรากฏ การแยกสามารถทำได้ด้วยวิธีพื้นๆ มันไม่มีการลัดขั้นตอนของการเรียนรู้ และตอนนั้นฉันก็เพิ่งทำงานมาได้เพียง 6 ปี เริ่มตั้งแต่ปี 1976
layer ทางวัฒนธรรมคือ layer หลายๆ layer มาทับซ้อนกัน และประวัติศาสตร์ก็เป็นอะไรที่เกี่ยวข้องกับ layer ต่างๆ ข้อเท็จจริงที่ว่าคนอเมริกันได้สร้างอาคารแบบ neo-classic ขึ้นมา สำหรับฉันแล้วมันไม่ได้แปลว่าพวกเขาได้ชุบชีวิตประวัติศาสตร์ของพวกเขา แนวคิดผ่านออกมาแล้วกลายเป็นการซ้อนทับกันและกัน สิ่งที่ฉันพบว่ามันน่าสนใจคือชีวิตในเมืองใหญ่ที่มีการปะทะกันของกิจกรรมที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ข้อเท็จจริงที่เพื่อนบ้านของคุณนั้นอยู่ใกล้ แต่กลับไม่มีสิ่งเกี่ยวข้องกันเลยระหว่างคุณและเขา/เธอ ผลจากการสังเกตและประสบการณ์ของฉันนั้นอยู่ใน The Peak และหลังจากที่ฉันออกแบบมัน ฉันเริ่มที่จะคิดถึงมันว่าเป็นลักษณะทางธรณีวิทยาอย่างหนึ่ง (ความทับซ้อน ทับถมกันของสิ่งต่างๆ - ผู้แปล)
งาน Kurfürstendamm ดูน่าตื่นเต้นมาก นอกจากเรื่องของ site ที่เล็กแล้ว คุณยังสามารถรับรู้ได้ถึงพื้นที่ว่างที่เป็นอิสระ (free space) และเพราะว่า site นั้นเล็ก เราต้องเอาโครงสร้างไปอยู่ตรงส่วนที่เฉพาะเท่านั้น Peter Rice ก็ทำงานในโปรเจคนี้ งานนี้เกี่ยวกับความบริสุทธิ์ที่หมดจดขององค์ประกอบต่างๆที่เกี่ยวกับความแข็งทื่อและหนาแน่นของผนัง พื้นที่ว่างที่แตกต่างกันและทุกๆอย่างที่อยู่หลังกระจก แต่งานที่โตเกียวสาหัสกว่านี้ กว้างเพียงแค่ 3 เมตร
- ใน drawing บางอันคุณทำให้ผนังดูแน่นหนาและบางอันดูโปร่งใส แบบไหนที่คุณตั้งใจทำมัน?
สำหรับงาน Kurfürstendamm กระจกนั้นออกสีเขียวนิดหน่อย กระจกอยู่ข้างๆกับคอนกรีตและตอบรับจากถนน มันไม่มีมิติในแนวตั้ง
- คุณกำลังทำอะไรอยู่?
งานใหม่รวมไปถึงงานที่เบอร์ลินด้วย; งานที่ Hamburg; งาน Osaka Foundation; ร้านอาหารในญี่ปุ่นและอีก 2 อาคารในญี่ปุ่น และก็มีงานใหญ่ที่ Düsseldorf และทำวีดีโอสำหรับ exhibition ที่ Gröningen
- บอกผมสิว่าคุณรู้อะไรเกี่ยวกับแดร์ริดาบ้าง?
แนวทางที่ Bernard และ Peter ใช้แดร์ริดานั้นชอบธรรมแล้ว แต่คุณไม่จำเป็นต้องอ้างอิงโดยตรงทั้งหมด ฉันเคยไปฟัง lecture ของเขาถึงสองครั้งที่ Harvard มันไม่มีอะไรน่าสนใจเลย แดร์ริดานั้นหลุดออกไปนอกจักรวาลแล้ว การรู้จักตัวเองกลายไปเป็นประเป็นเรื่องอัตตา: คุณท้าทายประเด็นต่างๆ มันอันตรายมากสำหรับความคิดสร้างสรรค์ การรู้ตัวเองมากเกินไป
เป็นยังไงบ้างครับ บางส่วนจากหนังสือ Deconstruction A Student Guide ปี 1996 อาจจะเก่าไปสักหน่อย แต่ก็น่าจะทำให้เห็นแนวคิดในตอนนั้นของคุณ Zaha Hadid แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม
จริงๆแล้วที่ผมมาแปลบทสัมภาษณ์ก็เพราะว่าตอนนี้ผมยังไม่คิดว่าสามารถอธิบายเนื้อหาในหนังสือได้ด้วยดีนะครับ เพราะมันไล่มาตั้งแต่ Plato ไปยัน Derrida เลย แต่ก็ถือว่าคุ้มครับ บางทีเราอาจจะไม่จำเป็นต้องเข้าใจทุกอย่างในตอนนี้ บางอย่างมันต้องใช้เวลาและประสบการณ์
แต่ถึงอย่างไรก็คิดว่าเป็นเรื่องน่าสนใจดี ไว้มีอะไรจะมาเล่าใหม่ครับ
ซา-หวัด-ดี-ครับ